![]() |
รูปบางส่วนเมื่อตอนบวช เดือน พ.ค. '53 |
อุปสรรคสำคัญของการเจริญสติ
1. ความติดใจในกาม
ความติดใจในกามเกิดจากรสชาติ น่ายินดี ชวนให้อยากเอาอีก ความรู้สึกถวิลหาไม่เลิกนั่นแหละฟ้องว่าติดใจในกาม และตราบใดที่ยังติดใจในกาม ตราบนั้นย่อมมิใช่วิสัยที่จะรู้สึกว่ากายไม่น่ายินดี กายไม่เที่ยง กายไม่ใช่ว่า อย่างไรก็ต้องสำคัญมั่นหมายว่ากายน่ายินดี กายเที่ยง กายคือตัวเรา
ความติดใจในกามเกิดจากการตรึกนึกกาม ดังนั้น ถ้าเริ่มตรึกนึกถึงกามแล้วรู้ว่าตรึกนึกถึงกาม สติที่ขาดไปก็จะคืนกลับมา ไม่ตรึกนึกถึงกามต่อ และจะเห็นอีกด้วยว่าความติดใจในกามหายไปก็เหลือแต่ความว่าง ความแห้งสะอาดจากกาม เหมือนขึ้นจากหนองน้ำสกปรกเสียได้
แต่หากกำลังของสติ ยังอ่อน ความติดใจในกามยังไม่หายไป ก็ต้องอาศัยคู่ปรับของความติดใจในกาม นั่นคือ การระลึกถึงกาย โดยความเป็นของสกปรก ไล่จากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปจนกระทั่งของโสโครกเน่าเหม็นที่อยู่ข้างใน ดังที่เคยผ่านมาแล้ว เมื่อฝึกมีสติอยู่กับกาย
2. ความผูกใจเจ็บ
ความผูกใจเจ็บเกิดจากการกระทบกระทั่งน่าขัดเคือง ชวนให้ อยากเอาคืน ความรู้สึกขึ้งเคียดไม่เลิกนั่นแหละ เป็นตัวฟ้องว่าเราผูกใจเจ็บอยู่ และตราบใดที่ยังผูกใจเจ็บ ตราบนั้นย่อมมิใช่วิสัยที่จะรู้ตามจริงว่า ความทุกข์เป็นสิ่งน่าอึดอัด ความทุกข์ไม่เที่ยง ความทุกข์ไม่ใช่เรา อย่างไรก็ต้องสำคัญมั่นหมายว่า ความทุกข์เป็นของ ตั้งมั่นแกะไม่หลุด ความทุกข์คือตัวเรา

ถ้าเริ่ม ผูกใจเจ็บ แล้วรู้ว่าผูกใจเจ็บ สติที่ขาดไป ก็จะคืนกลับมา ไม่ตรึกนึกถึงเรื่องน่าขัดเคืองต่อ และจะเห็นอีกด้วยว่าหลังจาก อาการผูกใจเจ็บหายไป ก็เหลือแต่ความว่าง ความโปร่งสบาย หายหนัก หายเจ็บใจ เหมือนตอนหายป่วยแล้วกลับมีกำลังวังชา สดใสกันใหม่
แต่หากกำลังของสติยังอ่อน ความตรึกนึกถึงเรื่อง น่าขัดเคือง ไม่หายไป ก็ต้องอาศัยคู่ปรับของความผูกใจเจ็บ นั่นคือการแผ่เมตตา เริ่มต้นด้วยการทำความรู้สึกตามจริง เห็นว่าผูกใจแล้วใจตัวเอง นั่นแหละที่อึดอัดคัดแน่น หรือกระทั่ง เร่าร้อนทรมานหากหายจากโรคทางใจพรรค์นี้เสียได้ ค่อยโล่งใจหน่อย
วิธีหายจากโรคพยาบาธ ก็คือใช้ยาที่ชื่อว่า "อภัย" อันไม่อาจซื้อหาจากไหน ต้องปรุงด้วยใจ ซึ่งก็แค่เห็นเข้ามาที่จิตให้ได้ ดูว่าเพียงวูบหนึ่งของการคิดอภัย จิตจะคลายออกจากอาการยึด เปลี่ยนจากแน่นหนักคับแคบ เป็นโปร่งเบาและเปิดกว้างเหมือน คลี่ม่านดำเผยฟ้าใส เมื่อสภาพจิตที่โปร่งโล่งปรากฎขึ้น สิ่งที่ตามมาเป็นธรรมดา คือความปรารถนา สันติสุขแก่ทุกฝ่าย ทั้งเราทั้งเขา
เมื่อเห็นธรรมชาติ ของการเกิดความรู้สึกดีๆ เช่นนั้น ก็ให่ใส่ใจอยู่กับ รสสุขของภาวะ แห่งจิตไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้ ก็ได้ชื่อว่าอยู่ใน อาการแผ่เมตตาแล้ว
3. ความง่วงเหงาซึมเซา
ความง่วงเหงาซึมเซา เกิดจากความเกียจคร้าน ความมัวเมาในรสอาหาร และการตั้งจิตไว้กับความรู้สึกหดหู่ ขอให้ทราบว่า ความง่วงเหงาซึมเซาในที่นี้แตกต่างจากความง่วงเพราะเพลีย ที่ทำงานมาอย่างหนัก และต้องการพักผ่อนบ้าง ความง่วงเหงาซึมเซาในที่นี้ เจืออยู่ด้วยความขี้เกียจ ยังไม่ถึงเวลาพัก ก็อยากพัก ยังไม่ถึงเวลานอนก็อยากนอน สำหรับนักเจริญสติย่อมเป็นหมอกมัวเคลือบคลุมจิต ให้เจริญสติท่ามกลางหมอกมัว แน่นทึบย่อมมิใช่วิสัย ถ้าเริ่มซึมเซาแล้วรู้ว่าซึมเซา สติที่ขาดไปก็จะคืนกลับมา ไม่ซึมเซาต่อ และจะเห็นอีกด้วยว่า หลังจากความซึมเซาหายไป จะกลายเป็นสดชื่นกระปี้กระเป่า แม้เมื่อเซื่องซึมอีกก็รู้ได้อีก ยิ่งสั่งสมความเคยชินที่จะรู้มากขึ้นเท่าไร ก็จะกลับสดชื่นได้มากและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น
แต่หากกำลังของสติยังอ่อน ความซึมเซาไม่หายไป ก็ต้องอาศัยคุ่ปรับของความซึมเซา นั่นก็คือ เร่งความเพียร อาจจะเดินจงกรมเร็วๆ ออกกำลังกายหนักๆ เคลื่อนไหว กระทำกิจในชีวิตประจำวันด้วย ความทะมัดทะแมง ขอเพียงดึงจิตออกมาจาก ความแช่จมหมกตัวนิ่งได้ ก็นับว่าดีทั้งนั้น
4. ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ เกิดจากความไม่สงบจิต กล่าวคือ ถ้ามีเรื่องรบกวนจิตหรือเป็นผู้ไม่ชอบใจในความผาสุขสงบทางใจ ก็โน้มเอียงที่จะดิ้นรนซัดส่ายไปได้เรื่อย
ถ้าเริ่มฟุ้งซ่านแล้วรู้ว่าฟุ้งซ่าน สติที่ขาดไปก็จะคืนกลับมา ไม่ฟุ้งซ่านต่อ และจะเห็นอีกด้วยว่าหลังจากความฟุ้งซ่านหายไป จะกลายเป็นสงบวิเวก เมื่อฟุ้งอีกก็พร้อมจะรู้ว่าฟุ้งอีก โดยไม่กระจัดกระจายเป็นขี้เถ้าถูกเป่าดังเลย
แต่หากกำลังของสติยังอ่อน ความฟุ้งซ่านไม่หายไป ก็ต้องอาศัยคู่ปรับของความฟุ้งซ่าน นั่นคือความสงบแห่งจิต ซึ่งก็ต้องอาศัยทั้งสิ่งแวดล้อมที่เบาบางจากความวุ่นวาย การเลือกเสพ สมาคมกับผู้มีจิตอันระงับจากความเร่าร้อน สวดมนต์ให้เสียงอันเป็นมงคลจากปาก ดังกลบเสียงอัปมงคลในหัว ตลอดจนปิดตา ทำความรู้สึกถึงสายลมหายใจที่ลากยาว แช่มช้า เป็นต้น
5. ความลังเลสงสัย
ความลังเลสงสัยในที่นี้ มุ่งเอาแง่ของการไม่ปลงใจในการเจริญสติและเหตุที่สงสัย ก็เพราะไม่ใส่ใจโดยแยบคาย เช่นคาใจในวิธีปฎิบัติและผลการปฎิบัติ ไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองทำอยู่ ถูกหรือผิด ได้ผลอย่างหนึ่งแล้วจะต้องทำเช่นใดต่อไป
ถ้าเริ่มสงสัยแล้วรู้ว่าสงสัย สติที่ขาดไปก็จะคืนกลับมา ไม่สงสัยต่อ และจะเห็นอีกด้วยว่า หลังจากความสงสัยหายไป จะกลายเป้นความเชื่อมั่น เมื่อสงสัยอีกก็พร้อม จะรู้ว่าสงสัยอีก โดยไม่ไขว้เขว ไปไหนไกล
แต่หาก กำลังของสติ ยังอ่อน ความสงสัยไม่หายไป ก็ต้อง อาศัยคู่ปรับของความสงสัย นั่นคือการทำความเข้าใจให้กระจ่าง ก็อาจต้องอาศัย ครูบาอาจารย์หรือตำรับตำราช่วย การค้นเดาหรือเสี่ยงผิดเสี่ยงถูก ทั้งไม่แน่ใจ รังแต่จะก่อผลเสียไปเรื่อยๆ ในระยะยาวได้
เมื่อทำความรู้จักและสามารถเท่าทันบรรดาตัวการที่ ทำให้สติขาด เราก็จะเป็นผู้มีสติอยู่เสมอ แม้ไม่ถึงขนาด ทุกวินาที ตลอด 24 ชั่วโมง ก็สมควรเรียกว่าเป็นผู้ขวนขวาย เจริญสติทั้งวัน มีสติอยู่เกือบตลอดเวลาแล้ว
บทความจากหนังสือเรื่อง "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน เล่ม 2"
ทิ้งท้ายอีกบทความ
"เวลาคนเราทุกข์หนัก ก็มักปักใจเชื่อว่าไม่สามารถผ่านความทุกข์นั้นๆ ไปได้ เผลอๆ อาจทึกทักว่า วันเวลาที่เหลืออีกทั้งชีวิต คงต้องจมปลักอยู่อย่างนี้ ทั้งที่จริงแล้ว ถ้าแค่หยุดเพิ่มเหตุแห่งทุกข์ทางใจเข้าไป ความทุกข์ก็จะแสดงความไม่เที่ยง ไม่อาจตั้งอยู่ได้เกือบทันที เหตุแห่งทุกข์ทางใจที่ว่านั้นก็คือ อาการครุ่นคิดซ้ำซาก นั่นเอง เพียงรู้ด้วยสติ เห็นตามจริงว่า อาการครุ่นคิดซ้ำซาก ก็แค่ของจรเข้ามา ไม่ได้มีอยู่ก่อนในใจและไม่อาจคงสภาพคิดๆๆ นั้นได้ตลอด โดยไม่แปรปรวนไปเป็นระดับอ่อนแก่ต่างๆ เท่านั้น ก็ได้ชื่อว่า เหตุแห่งทุกข์ ถูกจับได้ไล่ทัน ถูกแทรกแซง ถูกแทนที่แล้ว"
บทความบางส่วนจากหนังสือ "ณ. มรณา 7 เดือนบรรลุธรรม"
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment