คุณแม่ท่านหนึ่งยกมือถามผม ระหว่างการฟังบรรยายเรื่องการส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ ว่าเธอมีลูกที่ก้าวร้าว อารมณ์รุนแรง ทั้งที่เธอไม่ได้สั่งสอนหรือทำตัวแบบนั้นเลย สาเหตุมันมาจากไหน และเธอควรทำอย่างไร ผมเริ่มตอบด้วยการถามเธอว่า ลูกคนนี้เป็นลูกที่ดีหรือไม่ เธอตอบว่าไม่ใช่เลย
ในแนวทางของการมองโลกด้านบวกเพื่อแก้ไปสู่การเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหานั้น จะต้องเริ่มด้วยการมองสิ่งต่างๆ ในด้านบวก หมายความว่ามีความดีปะปนอยู่ มีประโยชน์หรืออาจเป็นบทเรียนแก่ตัวเราได้ พูดง่ายๆก็คือ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในตอนนี้ควรมีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่เสมอ มุมมองเช่นนี้หรอกจึงทำให้เราผ่อนคลายจิตใจให้เป็นกลางมากขึ้นและมีสติปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้
ถ้าคุณแม่ท่านนี้เริ่มต้นมองหาความดี "เล็กๆ" ของลูก เช่น ช่วยงานบ้านได้บ้าง หรืออาจเป็นเพื่อนแก้เหงา ความดีเล็กๆ นี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่าทีต่อเด็กนั้นดีขึ้น นุ่มนวลขึ้น ก่อนจะนำไปสู่การแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีที่มีอยู่เหล่านั้น
สถาปนิกคนหนึ่งตกงาน เพราะความคิดมาก วิตกกังวลในหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานจนลาออก คิดว่าใครๆ ก็บีบให้เขาลาออก แต่ความที่ยังมีเพื่อนอยู่หลายคน เพื่อนคนหนึ่งก็เลยชวนให้ไปช่วยงานก่อสร้างที่ไซต์งานแห่งหนึ่ง แรกๆ ก็ไม่ชอบ รู้สึกว่าเป็นงานต่ำต้อยไม่สมกับความสามารถ หนักๆ เข้าก็ระแวงว่า ช่างไฟแกล้งมาทดสอบความรู้ก็มี นี่เป็นการมองโลกและคนอื่นในแง่ร้าย ซึ่งหลังจากได้ปรับเปลี่ยนเปลี่ยนแล้วเขาก็ดูดีขึ้น สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
วิธีการก็ไม่ยากเย็นมากนัก เพียงฝึกคิดหลากหลายแง่มุมในเหตุการณ์ที่ตนคิดว่ามันไม่ดี ล่าสุดมีบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งเรียกตัวเขาเข้าไปสัมภาษณ์ เขาลังเลเล็กน้อย บอกว่ากังวล ไม่แน่ใจว่าหากเขาออกจากงานนี้ไป เพื่อนจะลำบากไหม จะมีใครดูแลงานแทนเขาหรือเปล่า เขามองเห็นว่างานที่เขาทำอยู่นี้แม้ว่าจะไม่ใหญ่โตอะไร แต่ก็ได้เรียนรู้การดูแลหน้าที่การงานซึ่งสถาปนิกอย่างเขาไม่ค่อยได้ทำอย่างนี้ ที่แล้วมาได้แต่ทำงานออกแบบเป็นหลักเท่านั้น
นี่เป็นคุณสมบัติที่ดี นั่นก็คือ...ถ้าทำงานอะไรอยู่ก็ต้องหาข้อดีของงานนั้นได้ คล้ายกับสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว (ก็คืองานที่กำลังทำอยู่) นั้นย่อมมีดีเสมอ
อย่างไรก็ตาม เขาก็คงต้องทดลองสัมภาษณ์งานดูก่อนว่าผลจะมีอย่างไร รวมทั้งอาจถามเพื่อนว่า หากเขาไปทำงานอื่นเต็มตัว เพื่อนจะมีความเห็นอย่างไร (ความจริงเพื่อนคนนี้ได้ให้งานที่ง่ายมากแก่เขา ทำนองว่าจะให้เพื่อนมีายได้มากกว่าการหวังผลงานอย่างจริงจัง)
การเห็นข้อดีของงานที่ทำอยู่ทำให้เกิดความสุขในการทำงานและผลงานก็ออกมาดี แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการไต่เต้า ค้นหาความก้าวหน้าแต่อย่างไร
เช่นเดียวกัน กรณีของคุณแม่ การมองเห็นความดีของลูก ไม่ได้หมายความว่าจะเอาอกเอาใจ หรือมองไม่เห็นด้านที่เป็นลบเลย แต่เป็นการมองอย่างที่เห็นจริงๆ ทั้งบวกทั้งลบ เมื่อมองอย่างนี้จึงจะสามารถแก้ไขด้านลบให้กลับคืนดีได้
วัยรุ่นคนหนึ่งบ่นว่าพ่อแม่ของเธอไม่ได้มีน้ำใจและรักเธอมากเหมือนกับพ่อแม่ของเพื่อน เหตุผลก็คือ เวลาเธอไปเรียนพิเศษนั้น พ่อแม่จะให้เธอกลับเอง แต่ของเพื่อนพ่อแม่จะมารับ ซึ่งก็เป็นไปได้ที่พ่อแม่ของเธออาจไม่ประสากับการแสดงความห่วงใย แต่ถ้าหากเปลี่ยนแปลงตอนนี้ไม่ได้ สิ่งนี้ (พ่อแม่) ก็ยังต้องดีอยู่
เพราะพ่อแม่ของคนอื่น จะดีอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อแม่ของเรา
รถเก่าๆ ของเราก็ดีเสมอ เพราะเป็นรถของเรา
งานของเพื่อนอาจดูดี มีเงินเดือนสูง แต่งานของเราก็ดีเสมอเพราะเป็นงานของเรา
สุดท้ายแล้ว....คุณจะมีหน้าตา ฐานะอย่างไรก็เป็นสิ่งดีเสมอ เพราะนี่คือตัวคุณ...มิใช่คนอื่น
ที่มา:หนังสือชื่อ สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ (นายแพทย์เทอดศักดิ์ เดชคง)
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment