
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันแล้วประสบความสำเร็จ ทั้งๆที่คนเหล่านี้บางทีก็ไม่ได้มีการศึกษาสูงแต่ประการใด มีแต่ความขยัน อดทน และมุมานะ ที่ต้องการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ฝัน แล้วแปรรูปความฝันให้กลายเป็นความจริง
ทางตรงกันข้าม ก็มีคนอีกมากมายบนโลกนี้ ที่เอาแต่ฝัน พร่ำพรรณนาแล้วลองผิดลองถูกกับสิ่งที่ตัวเองฝัน จนความฝันนั้นกองเป็นพะเรอเกวียน แต่ก็ไม่มีโอกาสลงมือทำสักที "เพราะคิดว่าข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่มากพอ ที่จะประดิษฐ์ความฝันให้กลายเป็นความจริง" สุดท้ายตายแล้วก็ยังไม่ได้ลงมือทำเสียที "อาจารย์ศิลป์ พีระศรี" เคยพูดประโยคอมตะหนึ่งบอกว่า....พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว
อันหมายความว่า ถ้าคุณมัวแต่คิด มัวแต่ฝัน และมัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง คุณจะไม่มีทางประสบความสำเร็จ แต่คุณจะต้องลงมือทำเสียแต่วันนี้ และเดี๋ยวนี้ แล้วคุณจะพบคำตอบเองว่า สิ่งที่ตัวคิดฝัน หรือลงมือทำนั้นอาจมีข้อบกพร่องอะไรให้แก้ไขบ้าง เพราะบางครั้ง คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาดและล้มเหลวบ้าง "ไม่ใช่เรียนรู้ความสำเร็จแต่เพียงฝ่ายเดียว"
ในหนังสือ "The Earth Path" ที่มี "สตาร์ฮอร์ก" นักสังคมบำบัดแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นผู้เขียน เขาพูดถึงคำสองคำ บอกว่า "I have to" กับ "I choose to" อันมีความหมายว่า "ผมจำเป็นต้อง" และ "ผมเลือกที่จะ"
คือคนบางคนอาจต้องทำอะไรบางอย่างเพราะจำเป็นต้องทำ แต่ก็มีคนอีกหลายคนที่เชื่อว่าผมเลือกที่จะทำอะไรบางอย่างเพราะผมต้องการที่จะทำ ซึ่งคำสองคำนี้มีความหมายต่างกัน "ต่างกันทั้งในสิ่งที่ตนเองคิด ฝัน และลงมือปฎิบัติ" เพราะคำว่า"ผมจำเป็นต้อง" เหมือนถูกตีกรอบให้เราจำเป็นต้องฝืนทำ โดยไม่มีความคิดความฝันเจือปนอยู่เลย ขณะที่อีกคำหนึ่งคือ "ผมเลือกที่จะ" กลับเป็นคำที่เป็นอิสะมากกว่า หลุดพ้นจากพันธนาการมากกว่า และพร้อมที่จะ ดำเนินไปตามความฝัน ตราบเท่าที่คุณอยากจะทำ แต่ก็นั่นแหละ จะมีสักกี่คนที่สามารถทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการใช้เวลา ใช้ความอดทน และรอคอย "ที่สำคัญคือความมุมานะ และความตั้งใจจริง"
บางครั้งอาจมีความเจ็บปวดเจือปนอยู่บ้าง หรือบางครั้งอาจต้องร่ำไห้กับตัวเองบ้าง แต่ทั้งหมดนั้น ถ้าคุณผ่านขวากหนามแห่งความยากลำบากได้ คุณจะพบกับฝั่งฝันในวันหนึ่ง
"พระไพศาล วิสาโล" เคยกล่าวถึงเรื่องทำนองนี้ว่า.....ผู้ปฎิบัติธรรม ต้องมือเปื้อน ตีนเปื้อนบ้าง ถึงจะรู้ว่าการปฎิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นคืออะไร ไม่ใช่มัวแต่นั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่แต่ในห้องพระ หรือจิบน้ำชา สนทนาเรื่องสันติภาพอยู่แต่ในห้องกระจกติดแอร์กลางสวนดอกไม้ แต่จะต้องเข้าไปสู่ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า ต้องเข้าไปสู่ทุกข์ของคนรอบข้างถึงจะเข้าใจปัญหานั้น ซึ่งเหมือนกับการแปรรูปความฝันให้กลายเป็นความจริง
ฉะนั้น ถ้าเราอ่านหนังสือเกี่ยวกับอัตชีวประวัติบุคคล ในภาคหนึ่งของการสร้างตัว เราจะเห็นเสมอว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือในวิชาชีพของตัวเอง ล้วนผ่านขวากหนามมาแล้วทั้งสิ้น บางคนล้มทั้งยืน บางคนถูกเอารัดเอาเปรียบมาทั้งชีวิต หรือบางคนผิดหวังซ้ำซาก แม้กระทั่งตายแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรังสรรค์ผลงานขึ้นมา จะเกิดความชื่นชอบของผู้คนในอีกศตวรรษหนึ่ง แต่กระนั้นเขาก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ตรงข้ามเขากลับแปลงอุปสรรคเป็นพลัง แล้วมุ่งมั่นต่อไปด้วยความเชื่ือว่าสักวันหนึ่งจะต้องประสบความสำเร็จ สักวันหนึ่งผู้คนจะเห็นคุณค่า ซึ่ง ตัวอย่างนี้มีให้เห็นมากมายในจิตรกรเอกและคีตกวีเอกของโลกหลายคน
ฉะนั้น ใครก็ตามที่คิดว่าตนมีความฝันที่อยากจะทำไร อยากจะเป็นอะไร จงลงมือทำเสียแต่วันนี้ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไป เพราะเวลาที่ผ่านเลยไป ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
ซึ่งเหมือนกับชีวิตของคนเราที่หมุนไปตามเข็มของนาฬิกา โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต ดังนั้น ทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตกอปรไปด้วยความสุขและความฝันทั้งปวง "จงหัดหมั่นทดสอบชีวิต เพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง เพื่อให้ตนเองทนพิษบาดแผลของความผิดหวังเสียบ้าง แล้ววันหนึ่งเมื่อความสำเร็จมาเยือน จะได้อยู่กับความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนและทระนง" โดยไม่ถูกแรงยั่วเย้าของกิเลส เพราะบางคนเชื่อว่าความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก แต่การจะรักษาความสำเร็จนั้นยากยิ่งกว่า
มนุษย์เราเองก็เช่นกัน "เมื่อคิดที่จะเดินตามความฝันของตัวเองเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ จึงต้องหมั่นเรียนรู้และศึกษาความสำเร็จของผู้อื่นอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็ต้องหมั่นเรียนรู้ความล้มเหลวของคนอื่นด้วย" เพื่อจะได้นำกลับมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง เพื่อให้ตนเองก้าวไปข้างหน้าโดยมีสติสัมปชัญญะประกบเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา ซึงเมื่อทำเช่นนั้นได้ ก็คงยากแล้วหละ ที่คลื่นลมของหมู่มวลกิเลสทั้งปวงจะทำอะไรเราได้
ปล. จาก....หนังสือความคิดที่ออกแบบได้
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment